227 จำนวนผู้เข้าชม |
กรุงเทพฯ – 18 กันยายน 2567 – กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดตัวธุรกิจที่ 3 ในโครงการนิลมังกร 10X “Lam Takhong Black Cow...เนื้อโคคุณภาพสูง” เพื่อเตรียมความพร้อมในการเติบโตสู่ตลาดทุน และยกระดับความสามารถด้านนวัตกรรมให้ผู้ประกอบการในระดับภูมิภาคมียอดขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท (10 เท่า) ภายในระยะเวลา 3 ปี รวมถึงสร้างโอกาสการต่อยอดยกระดับพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างเป็น “ดินแดนแห่งโคเนื้อพรีเมียม” คิด ผลิต ขาย และพัฒนาโคเนื้อที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว การบริโภค และการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหาร หรืออุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องในอนาคต
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ในฐานะที่สุดของผู้ผลักดันนวัตกรรม กล่าวว่า “เนื้อโคคุณภาพสูง ‘Lam Takhong Black Cow’ นับเป็นต้นแบบความพยายามของเกษตรกรไทยที่ต้องการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งนอกจากจะได้รับความรู้จากสถาบันการศึกษาและการสนับสนุนจากภาครัฐแล้ว ยังสามารถสร้างเครือข่ายกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ช่วยในการผลิตโคเนื้อคุณภาพสูงอีกด้วย และจากบทบาท NIA ในฐานะ ‘ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม (Focal Conductor)’ ที่ดำเนินงานภายใต้แนวคิด 4 G (Groom – Grant – Growth – Global) ได้มีโอกาสส่งเสริมและสนับสนุน ‘NVK ฟาร์ม’ ผ่านกระบวนการ Growth เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการให้มีความพร้อมในการเติบโตและขยายผลสู่การขายหรือระดมทุนด้วยกลไก Non-Financial จากโครงการสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทย นิลมังกร รุ่นที่ 2 ซึ่ง NIA เห็นถึงความพร้อมที่จะส่งเสริมและต่อยอดเข้าสู่กระบวนการ ‘นิลมังกร 10x’ เพื่อให้เกษตรกรผู้ผลิตเนื้อโคคุณภาพสูงของไทยเติบโตได้ 10 เท่า รวมถึงการขยายผลสู่ระดับ Global เพื่อเป็น ‘ที่สุดของเนื้อไทย’ ในตลาดโลกต่อไป นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปต่อยอดเพื่อยกระดับพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างเป็น ‘ดินแดนแห่งโคเนื้อพรีเมียม’ ที่คิด ผลิต ขาย และพัฒนาโคเนื้อที่มีคุณภาพ ซึ่งไม่เพียงแค่ NVK ฟาร์มเท่านั้น แต่ยังสามารถยกระดับคุณภาพของ 8 กลุ่มวิสาหกิจชุมชน 300 ฟาร์ม (ขนาดกลาง) โคเนื้อกว่า 2000 ตัว โดยปัจจุบัน ‘ตลาดภูมิภาคเอเชีย’ เป็นตลาดหนึ่งที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปีจึงถือเป็นโอกาสของไทย รวมถึงสามารถเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว การบริโภค และการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหาร หรืออุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องในอนาคต เช่น โรงเชือดเพื่อส่งออก วัคซีน การตรวจสอบย้อนกลับที่มาของโคเนื้อคุณภาพสูง การดูแลและรักษาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานและปลอดภัยตามข้อกำหนดของประเทศปลายทางต่อไป ทั้งนี้ หากประสบความสำเร็จก็สามารถนำไปเป็นต้นแบบในการสร้างอัตลักษณ์ที่โดดเด่นสำหรับแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดบริการและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างประโยชน์ทั้งในเชิงพาณิชย์และสังคมต่อไป”
ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะที่สุดของผู้ผลักดันสินค้านวัตกรรมเพื่อการสร้างแบรนด์ เปิดเผยว่า “มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการสร้างแบรนด์สินค้านวัตกรรม โดยในโครงการนี้จะเข้ามาช่วยผู้ประกอบการเกี่ยวกับการสร้าง "ความเชื่อมั่น" ในเนื้อโคคุณภาพสูง เพราะการสร้างแบรนด์คือการสร้างความเชื่อมั่น สำหรับ ‘Lam Takhong Black Cow’ นั้น เริ่มต้นจากการกำหนดกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะสร้างความเชื่อมั่นและพร้อมเป็นลูกค้าของเนื้อจากฟาร์ม NVK โดยค้นหาจุดที่จะสร้างความเชื่อมั่นในการซื้อเนื้อโคคุณภาพสูงไปจนถึงการซื้อซ้ำและการบอกต่อ ผ่านกระบวนการสร้างมาตรฐานของเนื้อโคคุณภาพสูงให้เป็นที่เชื่อมั่นและยอมรับ เพราะมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เองก็มีกลไกการตรวจสอบและทดสอบ เพื่อยืนยันมาตรฐานของเนื้อที่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว ประกอบกับทางมหาวิทยาลัยจะดำเนินการเล่าเรื่องราวของแบรนด์ ‘Lam Takhong Black Cow’ โดยใช้กลยุทธ์ Brand Storytelling technique เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความน่าสนใจและอัตลักษณ์ที่โดดเด่นให้เข้าไปอยู่ในใจของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งได้จัดเตรียมทีมที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญในทุกด้าน เพื่อสร้างแบรนด์ให้ ‘Lam Takhong Black Cow’ เป็นที่สุดของเนื้อไทย และอยู่ในใจ Beef Lover ต่อไป”
ดร.วรรณภา น่าบูรณะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ในฐานะที่สุดของงานวิจัยโดยการพัฒนาสายพันธุ์ กล่าวว่า “โคดำลำตะคอง เป็นลูกผสม 3 สายพันธุ์ โดยดึงเอาคาแรคเตอร์และคุณภาพเนื้อที่โดดเด่นแตกต่างกันของแต่ละสายพันธุ์ ได้แก่ 1) ลูกผสมพื้นเมือง ซึ่งมีจุดเด่นที่รสชาติ เข้มข้น และมีกลิ่นหอมของเนื้อสายพันธุ์นี้ ลักษณะเฉพาะของโคพันธุ์นี้จะมีความถึกทนซึ่งนิยมเลี้ยงในประเทศไทย 2) วากิว เป็นเนื้อที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดคือปริมาณไขมันแทรกในเนื้อคล้ายกับลายหินอ่อน และ 3) แองกัส ที่มีการเจริญเติบโตไว มีอัตราการแลกเนื้อสูงและทนต่อสภาพแวดล้อมในพื้นที่ได้ดี จนปัจจุบันเราสามารถทำให้เกิด "พ่อพันธุ์กึ่งสำเร็จรูป" ประกอบกับองค์ความรู้ที่ได้จากอุทยานวิทยาศาสตร์ทั้งเรื่องโภชนาการ สุขภาพ และสวัสดิภาพของสัตว์ จึงนำไปสู่การวิจัยและพัฒนาสูตรอาหารสำเร็จเฉพาะสำหรับโคเนื้อคุณภาพสูงโดยใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อให้โคสร้างโปรตีนเร่งการเจริญเติบโตร่วมกับการพัฒนาระบบการเลี้ยงในพื้นที่เปิดเพื่อลดอาการเครียดของโค ทำให้ได้เนื้อโคที่มีคุณภาพสูง "โคหนุ่ม เนื้อนุ่ม ชุ่มมัน" และกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์”
นายอรรควัฒน์ วิริยะขจรเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.วี.เค.ฟาร์ม โปรดักส์ จำกัด เปิดเผยถึงความเป็นที่สุดของเนื้อ “Lam Takhong Black Cow” ว่า “กว่าจะมาเป็น ‘Lam Takhong Black Cow’ ถูกพัฒนาและปลุกปั้นมาอย่างเข้มข้นกว่า 9 ปี ตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์ด้วยนวัตกรรมจากรุ่นสู่รุ่นจนได้สายพันธุ์ที่ดีที่สุด ผ่านกระบวนการที่พิถีพิถันทั้งการเลี้ยงและการควบคุมอาหารด้วยสูตรลับเฉพาะ จึงทำให้รสชาติเข้มข้น เป็นเอกลักษณ์ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีรสหวานติดปลายลิ้นจากกระบวนการเลี้ยงโดยธัญพืชตั้งแต่แรกเกิดจนถึงแปรสภาพ และปลอดสารเร่งเนื้อแดง ซึ่งได้รับมาตรฐานรับรองคุณภาพจากองค์กรที่ดูแลด้านมาตรฐานทั้งไทยและสากล โดยแบ่งรสชาติเนื้อเป็น 3 เกรด 6 ระดับ ตั้งแต่ระดับมาตรฐาน Standard /Standard + (A3) – เนื้อชุ่มฉ่ำ กำลังดี พรีเมี่ยม Premium/Premium + (A4) – เนื้อหอม นุ่ม เข้มข้น และซุปเปอร์พรีเมี่ยม Super Premium/Super Premium + (A5) – เนื้อนุ่มชุ่มลิ้น ละลายในปาก ทั้งนี้ มองกลุ่มตลาดเป้าหมายทั้งในกลุ่มร้านสะดวกซื้อ โมเดิร์นเทรด ร้านอาหาร คีออส และออนไลน์ ในโอกาสนี้ต้องขอขอบคุณพันธมิตรจากทุกหน่วยงานที่เข้ามามีส่วนร่วมในการปั้น ‘Lam Takhong Black Cow’ ให้กลายเป็น ที่สุด...ของเนื้อไทย”
นายรุ่งธรรม พุ่มสีนิล ในฐานะที่สุดของนักสร้างเรื่องราว และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ฟูมฟ์ฟัก จำกัด กล่าวว่า “Lam Takhong Black Cow” เป็นเนื้อที่มีครบทุกมิติในความเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ‘สายพันธ์ุ’ ที่คัดสรรผสมผสานมาอย่างดี ‘การเลี้ยง’ ที่พิถีพิถันเป็นอย่างมาก อาหารมีทั้งสูตรมาตรฐาน สูตรพิเศษ ที่สำคัญเรามีสูตรลับอีกด้วย ‘คุณภาพ’ ไม่เป็นสองรองใคร ส่งผลให้ ‘รสชาติ’ ที่ออกมาพูดได้ว่า ‘เฉพาะตัวแบบไร้ที่ติ’ อีกสิ่งที่อยากบอกก็คือ เราไม่ใช่คนรับเนื้อมาสร้างแบรนด์ขาย แต่เราสร้างสรรค์เนื้อขึ้นมาเพื่อผู้บริโภค สิ่งนี้ถูกคิด วิเคราะห์ ลองถูกลองผิด ปรับปรุง และพัฒนามาเกือบสิบปี ถึงเวลาแล้วที่คนไทยควรได้ลิ้มลองและรับรู้เรื่องราวเหล่านี้และสเต็ปต่อไปคือ อยากให้โลกรู้ว่าเนื้อที่ดีไม่ได้มีแค่แองกัสหรือวากิว แต่ยัง ‘Lam Takhong Black Cow’ อยู่ด้วย ในมุมธุรกิจเมื่อเรามีโปรดักส์ที่สุดยอดขนาดนี้ เราได้วางกลยุทธ์ทางการตลาดมุ่งเน้นไปทั้ง B2C และ B2B เรียบร้อยแล้วในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็น OFFLINE / ONLINE และ HORECA ซึ่งจะเริ่มปูพรมการสื่อสารและการขายที่ไตรมาสที่ 4 ของปี คือตั้งแต่ตุลาคมนี้เป็นต้นไป ทั้งหมดนี้ขอสรุปสั้น ๆ ว่า เมื่อเราคิดสิ่งที่ดี ทำสิ่งที่ดี และที่สำคัญคือเราทำได้ เราเชื่อมั่นว่า ความสำเร็จจะรอเราอยู่”
นายยุทธนา บุญอ้อม (ป๋าเต็ด) ครีเอทีฟ นักสร้างสรรค์ และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ฟูมฟ์ฟัก จำกัด กล่าวในมุมของ Beef lover ว่า “ผมลองมาแล้ว บอกเลยว่านี่คือที่สุดของเนื้อไทยอย่างแท้จริง สิ่งที่สัมผัสไดัคือความนุ่มแบบแองกัสแต่แองกัสมันไม่จุ๊ยส์ซี่ (ซุ่มฉ่ำ)แต่นี่กลับมีความจุ๊ยส์ซี่แบบวากิว ซึ่งวากิวกินมากก็เลี่ยนแต่แบล็กคาวกลับไม่เลี่ยน ทานได้เรื่อย ๆ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในที่สุดของเนื้อที่เคยทานมาเลยทีเดียว อยากให้ทุกคนที่มีความเชื่อว่าเนื้อที่คุณภาพดีต้องเป็นเนื้อนำเข้าจากต่างประเทศมาลอง แล้วความคิดคุณจะเปลี่ยนไปว่าหนึ่งในเนื้อที่ดีที่สุดอยู่ในไทยเรานี่เอง ขอสรุปด้วยสามคำสั้น ๆ สำหรับเนื้อแบล็กคาวก็คือ....มัน คือ ซอฟท์พาวเวอร์"
คุณธิติฏฐ์ ทัศนาขจร (เชฟต้น) เจ้าของร้านอาหารรางวัล 1 ดาวมิชลิน ‘Le Du (ฤดู)’ กล่าวว่า “สำหรับผมสิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้วัตถุดิบทุกอย่างจากผืนแผ่นดินไทย เพื่อที่จะได้สนับสนุนพี่น้องเกษตรกรไทย ซึ่งไม่เพียงทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ต้องสามารถผลิตวัตถุดิบที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ผมเชื่อว่าโคดำลำตะคองเป็นอีกหนึ่งในสินค้าของไทยที่เราควรภูมิใจ เนื่องจากมีคุณภาพดี จุดเด่นคือรสชาติเนื้อที่เข้มข้นหอมหวานที่วากิวปกติจะไม่มี เนื้อสัมผัสที่ได้เคี้ยว สู้ฟัน ไม่ละลายมากเกินไป และไม่เลี่ยน ผมว่านี่คือจุดเด่นของโคดำไทย เราไม่ได้ทำให้เหมือนใคร แต่เราต้องขายจากสิ่งที่แตกต่าง”